โซเชียลต่างพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก กับเรื่องราวของคุณแม่ที่อาศัยอยู่ในฮานอย ประเทศเวียดนาม ในคืนหนึ่งเวลา 21.20 น. เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น ยังพึมพำว่า ใครมาเวลานี้ เมื่อมองกล้องวงจรปิดจึงเห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ ในวินาทีนั้นจึงตื่นตระหนกเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าลืมไปรับลูกชายกลับจากโรงเรียน และคุณครูต้องพาซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาส่งถึงหน้าบ้าน
ฉันยุ่งอยู่กับลูกสามคน ในโรงเรียนสามระดับที่แตกต่างกัน คนหนึ่งอายุ 3 ปีในโรงเรียนอนุบาล คนหนึ่งอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนประถมศึกษา และคนหนึ่งอยู่ในโรงเรียนมัธยมต้น เด็กทั้งสามคนอยู่ในโรงเรียนที่แตกต่างกันสามแห่ง เมื่อเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ เป็นเวลาที่สามียังไม่เลิกงาน ทำให้ฉันต้องรับส่งลูกเพียงคนเดียว
เมื่อคืนฉันยุ่งอยู่กับการสอนคณิตศาสตร์ให้ลูกสาวคนโตเพื่อเตรียมสอบกลางภาค และดูแลลูกสาวคนเล็กไปพร้อมกันดัวย ฉันจึงจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับลูกชายคนกลางที่ยังไม่กลับบ้านจากโรงเรียน จนกระทั่งเกือบ 21.30 น. กริ่งประตูดังขึ้น และฉันก็พึมพำว่า ใครมาเวลานี้ เมื่อมองที่กล้องวงจรปิดหน้าบ้าน ฉันเห็นลูกชายถูกครูพามาส่งกลับบ้าน จึงรีบวิ่งไปด้วยความตื่นตระหนก ดังนั้น เหตุการณ์ในตำนานของการลืมลูกในชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องจริง
จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันลืมรับลูก เมื่อไม่นานมานี้ เป็นวันที่สามีไปรับลูกสองคนกลับมาบ้านก่อน เมื่อเห็นฉันกลับบ้านโดยหิ้วถุงผักและเนื้อมา ก็ถามว่า ลูกอยู่ไหน? ปรากฎว่าฉันไปตลาดและรีบวิ่งกลับบ้าน โดยลืมไปรับลูกอีกคน บ้านของเราเต็มไปด้วยเด็กๆ มากมาย ฉันและสามี ลุยเต็มที่ ไม่ได้จ้างแม่บ้าน ปู่ย่าตายายก็มีงานยุ่งกันหมด เลยมีเรื่องให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกบ้างเป็นบางครั้ง
เด็กๆ เองก็พบว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ พวกเขายังคงตลกแต่ไม่น่ากลัวเลย เมื่อคืนตอนที่ครูพาลูกชายกลับบ้าน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสามอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่าไฟในห้องนอนปิดอยู่หรือไม่ เขาไม่กล้ากดกริ่งประตูจนกว่าจะแน่ใจ เพราะกฎของแม่คือต้องปิดไฟในห้อง และเมื่อน้องคนเล็กหลับก็กดกริ่งเสียงดังไม่ได้ ผู้เป็นแม่เล่าถึงเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ปรากฎว่าเนื่องจากภารกิจต่างๆ รัดตัวหลายพันงาน คุณแม่จึงลืมไปรับลูกจนกระทั่งเวลา 21.00 น. บรรดาแม่ๆ ที่เผชิญสถานการณ์คล้ายคลึงกันต่างบอกว่า เข้าใจได้ว่าเธอเหนื่อยหรือขี้ลืมไปบ้าง สุดท้ายสิ่งที่คิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลกจึงกลับกลายเป็นเรื่องจริง และโชคดีที่เด็กชายได้รับการดูแลจากคุณครูเป็นอย่างดี