วันที่ 11 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท คาราบาวรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายรวม 4,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 2,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 1,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแลกอฮอล์เป็นหลัก ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆเท่ากับ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียมและบรรจุภัณฑ์ต่างๆให้แก่บริษัทคู่ค้าและคู่ค้าผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง
ส่วนรายได้จากการขายในประเทศจำนวน 1,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากการเติบโตของเครื่องดื่มคาราบาวแดง เป็นผลจากการที่บริษัทยังคงดำเนินกลยุทธ์หลัก คงราคาขายปลีกที่ 10 บาท ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ ยังคงความแข็งแกร่งจากการกระจายสินค้าผ่านช่องทางหน่วยรถเงินสดที่มีอยู่เดิมและการวางพื้นฐานการกระจายสินค้าในโครงช่ายผ่านช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม(Traditional trade) ให้กว้างขวางและครอบคลุมในระดับอำเภอทั่วทั้งประเทศ จากประสิทธิภาพจากการกระจายสินค้าที่ครอบคลุม การสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคในการตอกย้ำจุดแข็งของผลิตภัณฑ์และราคาขาย
ในขณะที่คู่แข่งหลักได้ปรับราคาขายขึ้นเป็น 12 บาท ประกอบกับการออกสินค้าใหม่ได้แก่ เบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง ส่งผลทางอ้อมในเชิงบวกให้แบรนด์ “คาราบาวแดง” เป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงผู้บริโภคในวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานมากขึ้น จึงช่วยกระตุ้นการรับรู้และผลักดันยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศ ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่รายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมีจำนวน 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาพื้นตัวดีขึ้นเป็นหลัก
โดยร่วมมือกับคู่ค้าทำการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายในประเทศกัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ในรูปแบบที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เช่น จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย สนับสนุนการแข่งขันมวย จัดคอนเสิร์ตพร้อมกับแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างของบริษัท เป็นต้น นอกจากนี้ รายได้จากการส่งออกไปยังประเทศเวียดนามยังคงเติบโตต่อเนื่อง ภายหลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด บริษัทคาดว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 27% เพิ่มขึ้นจากในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 25% จากกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้ว่าราคาน้ำตาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบอื่น เพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี
ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ประกอบกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนผลิตที่ลดลงจากประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) ในขณะที่ส่วนผสมของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า